เริ่มต้นแบรนด์เล็กๆ อย่างไรให้ดูมืออาชีพ

เริ่มต้นแบรนด์เล็กๆ อย่างไรให้ดูมืออาชีพ


การทำแบรนด์เล็กไม่ใช่ข้อจำกัด แต่มันคือโอกาสในการ “สร้างความรู้สึกดี” ให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ก้าวแรก และหนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถยกระดับความรู้สึกนี้ได้ทันที คือ “แพคเกจจิ้ง” เพราะไม่ว่าคุณจะขายสบู่แฮนด์เมด ขนมโฮมเมด หรือสินค้าทำมือใดๆ แพคเกจจิ้งที่ออกแบบมาอย่างมืออาชีพจะทำให้แบรนด์สินค้า "เล็กแต่ดูแพง" และกลายเป็นที่จดจำอย่างรวดเร็ว


แพคเกจจิ้งสำคัญยังไง?
1. สร้างความประทับใจแรก (First Impression)
แพคเกจจิ้ง คือ “หน้าตาของแบรนด์” ในโลกที่ลูกค้าเห็นสินค้านับร้อยนับพันบนหน้าจอโทรศัพท์หรือบนชั้นวางสินค้า การตัดสินใจที่จะซื้อสินค้านั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ 5 วินาทีแรกที่พวกเขาเห็น ดังนั้น สิ่งที่จะดึงดูความสนใจแรกได้ นั้นคือ แพคเกจจิ้งต้องดูสวย มีความโดดเด่น สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ เช่น
 ถ้ากล่องแพคเกจจิ้งดูดี ลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์นี้ “ใส่ใจ” ในการทำแบรนด์ ดูมีความตั้งใจทำ แหละนั่นคือ การซื้อใจลูกค้าได้ดี
 ถ้ากล่องแพคเกจจิ้งมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ลูกค้าจะจดจำได้ เกิดเป็นภาพจำและความประทับใจที่ดีต่อแบรนด์ของเรา
 ถ้ากล่องแพคเกจจิ้งมีความคิดสร้างสรรค์ ลูกค้าอาจหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายลงโซเชียลทันที เป็นการโฆษณาให้แบรนด์ของเราที่ไม่ต้องลงทุน


2. บอกเล่าเรื่องราวและตัวตนของแบรนด์ (Brand Storytelling)
แพคเกจที่ดีไม่ได้แค่ห่อหุ้มสินค้า แต่มันต้อง "เล่าเรื่อง" ของแบรนด์ได้ เช่น
 ใช้สีโทนอุ่น+วัสดุธรรมชาติ = แบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
 ใช้ฟอนต์ตัวเขียน+คำพูดอบอุ่น = แบรนด์ที่เป็นกันเอง
 ใช้ลายกราฟิกแบบโมเดิร์น+จัดวางแบบมินิมอล = แบรนด์ที่ดูพรีเมียม
เมื่อกล่องแพคเกจจิ้งสื่อสารสิ่งเหล่านี้ได้ ลูกค้าจะเริ่ม “รู้สึกผูกพัน” กับแบรนด์ตั้งแต่ยังไม่เปิดกล่องเลยด้วยซ้ำ

3. เพิ่มมูลค่าราคาขาย (Value Perception)
มีงานวิจัยทางการตลาดมากมายที่พบว่า ลูกค้าพร้อมจ่ายมากขึ้น หากสินค้ามีบรรจุภัณฑ์ที่ “ดูดี” แม้ว่าคุณภาพภายในจะเหมือนกันก็ตาม เช่น
 ช็อกโกแลตแบบเดียวกัน หากใส่กล่องหรู+ซองทอง อาจขายได้ในราคาสูงขึ้น 2 เท่า
 ครีมบำรุงผิวใส่ขวดธรรมดาอาจขายได้ 100 บาท แต่ถ้าใส่ขวดแก้ว+กล่องกระดาษอาร์ตการ์ด พิมพ์ 4 สี อาจขายได้ 180–200 บาท
จากตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า "แพคเกจจิ้งไม่ใช่ต้นทุน แต่มันคือ การลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้"


เทคนิคการออกแบบกล่องแพคเกจจิ้งให้ดูมืออาชีพต้องทำยังไง? 
1. การกำหนด “ตัวตนของแบรนด์”
ก่อนดีไซน์กล่องแพคเกจจิ้ง เราจำเป็นหาคำจำกัดความให้แบรนด์ของตัวเอง เพื่อกำหนดทิศทางหรือตีกรอบให้เห็นถึงจุดเด่นของแบรนด์ได้ดีขึ้น ลองถามตัวเอง 3 ข้อนี้
 สินค้าเราคืออะไร? 

ให้เราดึงจุดเด่นของสินค้าออกมา เพราะเอกลักษณ์ของสินค้าจะช่วยนำพาความอยากซื้อของลูกค้าได้ หากเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจหรือต้องตามสิ่งที่ลูกค้าตามหา ก็จะช่วยให้แบรนด์ของเราดึงดูดลูกค้าเข้ามาทันที เช่น ลิปสติกเนื้อฉ่ำวาว ติดทนนาน ใช้ได้ทั้งเพศชายและหญิง, ครีมกันแดด สูตรบางเบา แต่ปกปิดรอยสิว รอยแดงได้ดี มี SPF สูง , เซรั่ม เรตินอล ซึมผิวไว ไม่เหนี่ยว ปลอดภัยแม้ผิวแพ้ง่าย , สบู่ กลิ่นหอมติดทน บำรุงผิวกระจ่างใส ใช้ได้ทุกวัย เป็นต้น โดยใช้จุดเด่นนี้สร้างเป็นข้อความหรือรูปภาพ บนตัวกล่องแพคเกจจิ้ง อาจจะใช้ฟอนต์ดัวอักษรที่เด่นๆ อ่านง่าย เพื่อสื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่า เราขายอะไร


 ลูกค้าของเราคือใคร? 
ให้เรากำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ชัดเจนว่า สินค้าของเราขายให้กับลูกค้ากลุ่มใด เช่น เพศหญิง เพศชาย ยูนิเซ็ก วัยรุ่น Gen Z วัยทำงาน แม่บ้าน ผู้สูงอายุ เป็นต้น เพราะแต่ละกลุ่มมีความสนใจและความต้องการที่แตกต่างกัน ลักษณะการออกแบบกล่องแพคเกจจิ้ง (packaging) ก็แตกต่างกันไปด้วย


 3 คำที่อธิบายแบรนด์ของเราได้คืออะไร? 

ให้เราลองนิยามแบรนด์สินค้าสั้นๆ 3 คำ เพื่อเป็นการตีกรอบในการกำหนดทิศทางงานออกแบบได้ง่ายขึ้น ซึ่ง 3 คำนี้จะช่วยให้เรากำหนดโทนสี ลวดลาย ฟอนต์ตัวอักษรในงานออกแบบได้

ตัวอย่าง : แบรนด์ของเราเป็นสบู่สครับโฮมเมด กลุ่มลูกค้าของเราคือ สาววัยทำงานที่รักสุขภาพแนวออร์แกนิค อยากให้ลูกค้าใช้สบู่สบู่สครับนี้แล้วรู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้พักผ่อนในสปา ดังนั้น 3 คำที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ คือ สะอาด-กลิ่นหอม-ผ่อนคลายเหมือนได้ทำสปา นำเอา 3 คำนี้ไปกำหนดกรอบการออกแบบคร่าวๆ เช่น เลือกใช้โทนสีลาเวนเดอร์ที่ให้ความผ่อยคลายและสื่อถึงกล่องหอม ใช้กล่องกระดาษคราฟท์เพื่อสื่อถึงความออร์แกนิค และเพิ่มข้อความดึงดูดใจว่า “ใช้แล้วผ่อนคลายเหมือนได้ทำสปาที่บ้าน”


2. การเลือกโทนสี + ฟอนต์ ให้ดูมืออาชีพ
โทนสีและฟอนต์เป็น “เครื่องมือสื่อสารทางอารมณ์” ที่แบรนด์ของเราส่งตรงถึงใจลูกค้าโดยไม่ต้องพูด ให้เราเอาข้อมูลในข้อที่ 1 มาใช้ประกอบในการเลือก Mood & Tone 

อารมณ์แบรนด์โทนสีที่เหมาะ   ฟอนต์ที่แนะนำ
หรูหราดำ, ทอง, น้ำเงินเข้มSerif หรือฟอนต์บางเรียบ
สดใส ขี้เล่นเหลือง, พาสเทล, ส้มฟอนต์กลมมน ตัวเขียน
ธรรมชาติ เขียว, น้ำตาล, เอิร์ธโทน ฟอนต์ลายมือแนว handcrafted
เท่ ทันสมัยขาว, เทา, ดำ     Sans-serif, เรียบและตรง


เคล็ดลับ: ใช้สีไม่เกิน 3 สีหลัก และฟอนต์ไม่เกิน 2 แบบ เพื่อให้ดู “มืออาชีพ” และไม่รก

 


3. การเลือกวัสดุเพื่อผลิตกล่องแพคเกจจิ้ง
วัสดุที่ใช้ผลิตแพคเกจจิ้งไม่จำเป็นต้องแพง แต่อย่าให้ดู “ราคาถูก” ดังนั้น การผลิตแพตเกจจิ้งด้วยงานกระดาษจึงตอบโจทย์ที่สุด เพราะปัจจุบันโรงพิมพ์กล่องมีกระดาษให้เราเลือกหลากหลายชนิด และยังสามารถเพิ่มออฟชั่นหลังงานพิมพ์ให้งานดูพรีเมียมได้อีกด้วย 

ตัวอย่าง : วัสดุที่ดูดี + ประหยัด ได้แก่ 

 กล่องกระดาษอาร์ตการ์ด 350 แกรม พิมพ์ 4 สี + งานออฟชั่นเพิ่มความพรีเมียม เช่น การปั๊มนูน/เคเงิน/เคทอง/Spot uv เป็นต้น
 กล่องกระดาษฟอยล์ 350 แกรม 
 กล่องกระดาษคราฟต์ พิมพ์ 1 สี
 ซองฟอยล์ + สติกเกอร์แบรนด์
 ถุงกระดาษหูหิ้ว + ปั๊มโลโก้แบรนด์ 



4. การสื่อสารข้อมูลอย่างชัดเจน
แพคเกจจิ้งที่ดีต้องให้ “ข้อมูลจำเป็น” แก่ลูกค้าได้อย่างครบถ้วน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเมื่อซื้อสินค้าของเราไปแล้ว ใช้ได้ปลอดภัยแน่นอน 

ข้อมูลที่จำเป็น และควรใส่บนกล่องแพคเกจจิ้ง มีดังนี้ 

1. ชื่อสินค้า ควรออกแบบมีขนาดใหญ่กว่าข้อความอื่น และไม่สื่อสรรพคุณเกินจริง เพื่อใช้ชื่อแบรนด์โดดเด่น มองเห็นชัดเจน

2. ประเภทของสินค้า เช่น เครื่องสำอางสำหรับใบหน้า เครื่องสำอางสำหรับผิวหนัง เครื่องสำอางสำหรับแต่งปาก เครื่องสำอางสำหรับผม เครื่องสำอางสำหรับเล็บ  เป็นต้น

3. วิธีใช้ ควรบอกข้อมูลการใช้อย่างละเอียด เช่น เซรั่ม ควรระบุว่าใช้บริเวณใด ปริมาณการใช้แต่ละครั้ง ช่วงเวลาใด เป็นต้น 

4. ชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม เป็นชื่อตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนด และจะต้องเรียงลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย เพื่อให้ลูกค้าได้เช็คหากมีสารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ลูกค้าจะได้ทราบก่อน

5. คำเตือน หากมีข้อควรระวังในการใช้ ควรระบุไว้บนตัวกล่องแพคเกจจิ้งและตัวสินค้าด้วย 

6. ชื่อผู้ผลิต กรณีเป็นที่เป็นเครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศ ต้องใส่ชื่อและที่ตั้งผู้ผลิต เพื่อให้ลูกค้าสามารถเช็คได้ว่าสินค้านี้ผลิตจากที่ไหน

7. เดือนปีที่ผลิต-หมดอายุ เพื่อให้ลูกค้าทราบระยะเวลาของการผลิตเครื่องสำอางชนิดนั้นๆ เพื่อคำนวณอายุการใช้งานของสินค้านั้นๆ

8. เลขจดแจ้งต่างๆ เช่น เลขจดแจ้งจาก อย. เพื่อระบุว่าสินค้าของเราได้รับการตรวจสอบและได้มาตรฐาน

9. ปริมาณสุทธิ เพื่อบอกปริมาณของตัวสินค้า โดยเครื่องสำอางจะใช้หน่วยวัดปริมาณเป็น กรัม เช่น สบู่ 1 ก้อน ปริมาณสุทธิ 80 กรัม , ลิปสติก 1 แท่ง ปริมาณสุทธิ 3.9  กรัม เป็นต้น

10. ช่องทางการติดต่อ เช่น คิวอาร์โค้ด (QR Code) , ID Line , Facebook , Tiktok เป็นต้น เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า และช่วยโปรโมทแแบรนด์

ข้อควรระวัง : อย่าใส่ข้อมูลเยอะจนรก และวางตำแหน่งข้อความให้มีช่องว่าง เพื่อให้ดูโล่งและอ่านง่าย
 


 ตัวอย่างแรงบันดาลใจ: แบรนด์เล็กที่ปังเพราะแพคเกจจิ้ง
แป้งศรีจันทร์ : แบรนด์เครื่องสำอางขอคนไทยที่มีมายาวนานกว่า 70 ปี ได้มีการรีแพคเกจจิ้งครั้งใหญ่ เนื่องจากแพคเกจจิ้งเดิมที่ใช้มานานเริ่มดูล้าสมัย ไม่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ ส่งกระทบถึงยอดขายลดลงไปเรื่อยๆ เจ้าของแบรนด์จึงปรับเปลี่ยนตั้งแต่ชื่อแบรนด์จาก ผงหอมศรีจันทร์ ถูกเปลี่ยนเป็น แป้งศรีจันทร์ มีการเปลี่ยนโลโก้ให้ทันสมัย พร้อมเพิ่มลวดลายที่ดูหรูหรากว่าเดิม และเลือกใช้วัสดุของตัวแพคเกจจิ้งที่ดีขึ้นจากเดิมเป็นตลับแป้งพลาสติก เปลี่ยนเป็นตลับโลหะที่ช่วยเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น นอกจากนี้ แบรนด์ยังคงพัฒนาแพคเกจจิ้งอยู่สม่ำเสมอ จนกลายเป็นแบรนด์ไทยที่ดังไกลทั่วโลก


จะเห็นได้ว่า แพคเกจจิ้งที่ดี = แบรนด์เล็กที่ดูโปร แบรนด์เล็กไม่ได้แปลว่า ไม่สามารถ “ดูมืออาชีพ” ได้ แต่คือ การเริ่มต้นแบบ “ใส่ใจ” ตั้งแต่รายละเอียดเล็กที่สุด เมื่อคุณวางแผนการทำกล่องแพคเกจจิ้งได้ดี มันไม่เพียงแค่ช่วยขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างแบรนด์ สร้างความจดจำ และ สร้างความรู้สึกดีในใจลูกค้าทุกครั้งที่ได้สัมผัสสินค้า และเพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำได้อีกด้วย 

ปรึกษาเรื่องงานออกแบบและผลิต กล่องบรรจุภณฑ์ ฉลากสินค้า กับทีมงาน BKKPaperBox ได้ที่
พูดคุย ปรึกษา สอบถาม สั่งผลิตงาน Add Line
Line ID : @bkkpaperbox 
โทรสอบถามเพิ่มเติม
เอวา 0956519893
เอ็มมี่ 0933264882

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้